วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

KKP ปิดบวก 4.07% หลังร่วงจากจุดพีค 37% เข้าเขตขายมากเกินไป ยีลด์ปันผล 6.4%

KKP ปิดบวก 4.07% หลังร่วงจากจุดพีค 37% เข้าเขตขายมากเกินไป ยีลด์ปันผล 6.4%

วันพฤหัสบดีที่ 01 สิงหาคม 2556 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ปิดตลาดที่ 44.75 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 4.07% มูลค่าการซื้อขาย 312.72 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น KKP อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากระดับราคา 71 บาทเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา และต่ำสุดที่ 42.75 บาทเมื่อวานนี้ (31 ก.ค.)  หรืออ่อนตัวกว่า 37% จากจุดสูงสุด ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคเข้าเขตขายมากเกินไป ทำให้วันนี้ราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัว RSI อยู่ที่ 34.36 ล่าสุด KKP ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 9.04 เท่าและ P/BV ที่ 1.05 เท่า
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ KKP เปิดเผยว่า ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อรวมในปีนี้ที่ 19% โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้สินเชื่อรวมเติบโตได้ 8% ส่วนใหญ่มาจากการขยายสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงได้รับผลดีจากการกระจายตัวรายได้ทีดีขึ้น สัดส่วนดอกเบี้ยต่อรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการอยู่ที 67:33 ส่งผลให้กำไรของกลุ่มธุรกิจมีความสมดุล กำไรสุทธิใน 6 เดือนแรกอยูที่ 2,399 ล้านบาท
สำหรับแนวทางการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง มองว่าสินเชื่อของธนาคารยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง รวมถึงมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจตลาดทุนอย่างเต็มรูปแบบ จะเห็นได้ว่าภาพรวม 6 เดือนแรกที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจมีผลดำเนินงานที่สะท้อนความร่วมมือทางธุรกิจของธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุนชัดเจน ทำให้มีการกระจายรายได้ที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธนาคารอาจจะต้องตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมอีกหลังจากครึ่งปีแรกตั้งไปแล้วกว่า 1.3 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูง แต่ในครึ่งปีหลังจะกลับมาตั้งสำรองในอัตราที่ปกติที่ไตรมาสละ 400-500 ล้านบาท เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดการเงินโลก ขณะเดียวกันเพื่อรองรับผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายรถยนต์คันแรกที่ส่งผลกระทบให้รถมือสองมีราคาที่ปรับตัวลดลงประกอบกับหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งอาจจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ ส่งผลให้เป้าหมาย NPL ปีนี้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นที่สิ้นปีจะอยู่ที่ไม่แกิน 3.5% ซึ่งเป็นระดับที่อยู่ปัจจุบัน จากที่ก่อนหน้านี้กำหนดไว้ 3%
นายกฤติยา วีรบุรุษ ประธานธุรกิจตลาดทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทุนภัทร และบล.ภัทร เปิดเผยว่า ภาวะธุรกิจตลาดทุนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวน จากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เห็นได้จาก SET index ที่ปรับตัวลดลงจาก 1,561.06 จุด ณ สิ้นไตรมาส 1/2556 มาปิดที่ 1,451.90 จุด ณ สิ้นไตรมาส 2 ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของบริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของ บล.ภัทร และ บล.เกียรตินาคิน อยู่ที่ 4.33% และ 1.30% ตามลำดับ หรือรวมเท่ากับ 5.63% เป็นอันดับที่ 3 จากจำนวนบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมด 31 แห่ง ส่วนธุรกิจจัดการกองทุนที่มีทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (โดย บลจ.เกียรตินาคิน) จำนวน 22,188 ล้านบาท  และสินทรัพย์ภายใต้การดูแลของงานด้านกองทุนส่วนบุคคล หรือ Private Fund อีกจำนวน 5,006 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้รายได้จากธุรกิจตลาดทุนมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของรายได้รวมของกลุ่มธุรกิจ
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 24 ก.ค.56 ว่า กำไร 2Q56 ของ KK สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ต่ำกว่าคาดสินเชื่อยังเติบโตต่อ แต่ NPL ก็เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ และธุรกิจตลาดทุนมีแนวโน้มชะลอลงทางฝ่ายจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2556 ลง 10% เหลือ 4.3 พันล้านบาท จากเดิมคาดไว้ที่ 4.8 พันล้านบาท และปรับลดประมาณการเงินปันผลปรับลดลงด้วยเหลือ 3.25 บาท/หุ้น yield 6.4% จากเดิมคาดไว้ที่ 3.50 บาท/หุ้น ปรับราคาพื้นฐานลงเหลือ 67.50 บาท แนะนำ “ซื้อ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น