วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ราคาทองในปท.พุ่งบาทละ 300 ดอลล์อ่อนหนุนราคาตลาดโลก

ราคาทองในปท.พุ่งบาทละ 300 ดอลล์อ่อนหนุนราคาตลาดโลก

วันศุกร์ที่ 09 สิงหาคม 2556 

สมาคมค้าทองคำ รายงานราคาซื้อขายทองคำวันนี้ (9 ส.ค.) ทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 19,350.00 ขายบาทละ 19,450.00 ขณะที่ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 19,071.28 ขายบาทละ 19,850.00 ปรับขึ้นจากราคาปิดวานนี้บาทละ 300
บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุว่า ราคาทองคำวานนี้มีราคาปิดเพิ่มขึ้น 24.25 USD ต่อออนซ์ ดีดตัวขึ้นแรงจากการประกาศตัวเลขการค้าของจีนออกมาดีเกินคาด ได้แก่ การส่งออกเพิ่มขึ้น 5.1% จากปีก่อนหน้า ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหน้า แสดงถึงเศรษฐกิจจีนเริ่มมีเสถียรภาพหลังจากที่ชะลอตัวลงมากกว่า 2 ปี
นอกจากนี้ยังได้โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงิน USD จากการที่เงินยูโรแข็งค่าขึ้น เมื่อเยอรมันเปิดเผยยอดเกินดุลการค้าสูงเกินคาด ส่วนในตลาดค้าทองได้รับแรงหนุนจากข่าวการผลิตทองคำจากอัฟริกาใต้ในเดือนมิ.ย.ผลิตลดลง 14% ช่วยหนุนราคาทองคำให้เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำจะยังได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ว่าเฟดจะลดขนาดมาตรการ QE ในไม่ช้าซึ่งจะทำให้ราคาทองปรับลดลงมาได้อีก นอกจากนี้ราคาทองคำได้แรงกดดันจากการขายทองคำออกของกองทุน

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

หุ้นยุโรปปิดวานนี้ร่วงตามหุ้น HSBC-มิวนิค รี เทรดเดอร์มองแนวโน้มปรับลงต่อเนื่อง

หุ้นยุโรปปิดวานนี้ร่วงตามหุ้น HSBC-มิวนิค รี เทรดเดอร์มองแนวโน้มปรับลงต่อเนื่อง

วันพุธที่ 07 สิงหาคม 2556 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงในวันอังคาร โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นธนาคารเอชเอสบีซีของอังกฤษ และหุ้นบริษัทมิวนิค รี ซึ่งเป็นบริษัทประกันต่อของเยอรมนี นอกจากนี้เทรดเดอร์บางรายยังคาดการณ์อีกด้วยว่าตลาดหุ้นจะร่วงลงต่อไป ขณะที่นักลงทุนเทขายทำกำไรหุ้นที่เคยพุ่งขึ้นในเดือนก.ค.
ทั้งนี้ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดดิ่งลง 98.65 จุด หรือ 1.17% สู่ 8,299.73, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดร่วงลง 17.40 จุด หรือ 0.43% สู่ 4,032.57, ดัชนี FTSEurofirst 300 หุ้นกลุ่มบลูชิพทั่วยุโรปปิดร่วงลง 4.55 จุด หรือ 0.37% สู่ 1,220.84 วอลุ่มการซื้อขายอยู่ในระดับเบาบาง ส่วนดัชนี Euro STOXX 50 สำหรับหุ้นกลุ่มบลูชิพของยูโรโซนปิดตลาดร่วงลง 18.30 จุด หรือ 0.65% สู่ 2,790.78
นายปีเตอร์ ไรซ์ จากบริษัทโลจิก อินเวสท์เมนท์สกล่าวว่า นักลงทุนหลายรายอาจเทขายทำกำไร หลังดัชนี FTSEurofirst 300 พุ่งขึ้นมาแล้ว 10% จากจุดต่ำสุดของปี 2013 ที่ 1,111.11 ซึ่งทำไว้ในวันที่ 24 มิ.ย.
หุ้นธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ของอังกฤษร่วงลง 0.8% ในวันอังคาร หลังดิ่งลง 4.4% ในวันจันทร์ โดยหุ้นตัวนี้ได้รับแรงกดดันในวันอังคารจากการที่โบรกเกอร์ 2-3 รายปรับลดอันดับความน่าลงทุนและราคาเป้าหมายของหุ้นเอชเอสบีซี หลังจากเอชเอสบีซีเปิดเผยผลประกอบการรอบครึ่งปีที่น่าผิดหวังในวันจันทร์ ส่วนหุ้นบริษัทมิวนิค รีดิ่งลง 5.4% หลังกำไรสุทธิของมิวนิค รีดิ่งลงอย่างรุนแรงเกินคาดในไตรมาสสอง

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

KBANK ทุ่มงบ 1.2 พันลบ.หนุนรง.ผลิตยางรถยนต์ในจีน

KBANK ทุ่มงบ 1.2 พันลบ.หนุนรง.ผลิตยางรถยนต์ในจีน

วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2556 

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ธนาคารให้การสนับสนุนสินเชื่อแก่บริษัท แอลแอลไอที (ประเทศไทย) จำกัด (LLIT (Thailand) Co.,Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท ซานตงหลิงหลงไทร์ จำกัด (Shandong Linglong Tire Co., Ltd: SDLL) ผู้ผลิตยางรายใหญ่ในประเทศจีน ในโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตยางรถยนต์ในประเทศไทย
ทั้งนี้ ในเฟสแรกธนาคารได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อเพื่อการก่อสร้าง (P/N) และวงเงินเพื่อการซื้อเครื่องจักร (L/C,T/R) จำนวน 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ยังมีโครงการที่ขยายการผลิตในเฟส 2 เพิ่มเติมอีกในอนาคต
สำหรับการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของ LLIT เนื่องจากต้องการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตยางรถยนต์รองรับตลาดในประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของเอเซีย รวมถึงการส่งออกไปจำหน่ายในตลาดเออีซีและประเทศอื่น ๆ เนื่องจากไทยมีความพร้อมในเรื่องวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตยางรถยนต์อย่างพร้อมมูล
นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลจีนในการส่งเสริมให้นักธุรกิจจีนออกมาลงทุนในต่างประเทศ (Going-out Policy) เพื่อขยายตลาดและสร้างแบรนด์สินค้าจีนในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้แนวโน้มการลงทุนจากจีนมาสู่ประเทศไทยมีการเติบโตที่สูงขึ้นจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้า
ธนาคารมียุทธศาสตร์สำคัญในการสนับสนุนการลงทุนให้กับนักธุรกิจจีนในประเทศไทย คือ มุ่งขยายการให้บริการในประเทศจีน การส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทย-จีน และการพัฒนาบริการแก่ลูกค้าชาวจีนที่เข้ามาในประเทศไทย ด้วยการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางและให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร ซึ่งครอบคลุมลูกค้าจีนในทุกกลุ่ม ภายใต้ความต้องการในการทำธุรกิจของชาวจีนที่เข้ามาลงทุนในไทย ในด้านการเงิน ด้านองค์ความรู้ทางธุรกิจ และให้บริการเป็นภาษาจีนเพื่อลูกค้าชาวจีนโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ ด้วยศักยภาพของธนาคาร ซึ่งมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และครอบคลุมหลายธุรกิจ จึงมีความพร้อมในการต่อยอดธุรกิจจีนในประเทศไทย ผ่านการจับคู่ทางธุรกิจแก่นักลงทุนจีน (Business Matching) ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนจีนพบคู่ค้าที่มีศักยภาพ ไว้วางใจได้ และอยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องตลอดทั้งวงจรการผลิตจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ซึ่งจะเป็นการขยายโอกาสในการเติบโตเข้าถึงกลุ่มตลาดลูกค้าชาวไทย และสามารถดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ด้านนายหวัง เฟิง ประธานกรรมการ SDLL กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมีประสบการณ์ในการผลิตยางรถยนต์มากว่า 37 ปี ปัจจุบันเป็นบริษัทผลิตยางรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุด 1 ใน 3 ในประเทศจีน และติดอันดับ 1 ใน 20 ผู้ผลิตยางรถยนต์ของโลก มีผลิตภัณฑ์หลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรูปแบบ กว่า 3,000 ชนิด ทั้งรถเก๋ง ยางรถบัส รถบรรทุก ส่งขายใน 160 ประเทศทั่วโลก ด้วยยอดขายในปี 2555 ราว 10,061.18 ล้านหยวน
การเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในนาม LLIT โดยมี SDLL ถือหุ้น 99.98% ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานบนเนื้อ 330 ไร่ ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 56 โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ มีกำลังผลิตยางรถยนต์ประเภทต่าง ๆ รวมประมาณ 12 ล้านเส้นต่อปี และจะมีขยายการผลิตเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเน้นการผลิตและจัดจำหน่ายยางประเภทเซมิสตีลเรเดียล (Semi-Steel Radial Tire) และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับยาง

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กังวลธ.กลางคุมเข้มนโยบายกดหุ้นยุโรปปิดวานนี้ร่วง 1%

กังวลธ.กลางคุมเข้มนโยบายกดหุ้นยุโรปปิดวานนี้ร่วง 1%

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2556 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นยุโรปปิดดิ่งลงในวันพฤหัสบดี โดยได้รับแรงกดดันจากสัญญาณบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางอังกฤษและสหรัฐอาจจะคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างรวดเร็วเกินคาด และสัญญาณดังกล่าวทำให้นักลงทุนปรับสถานะการลงทุนเพื่อรับมือกับการร่วงลงของตลาดในอนาคต
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดร่วงลง 61.83 จุด หรือ 0.73% สู่ 8,376.29, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดอ่อนลง 21.00 จุด หรือ 0.51% สู่ 4,093.20, ดัชนี FTSEurofirst 300 ของหุ้นกลุ่มบลูชิพทั่วยุโรปปิดดิ่งลง 12.51 จุด หรือ 1.01% สู่ 1,227.79 โดยการดิ่งลงในวันพฤหัสบดีถือเป็นการดิ่งลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ และดัชนี Euro STOXX 50 ของหุ้นกลุ่มบลูชิพในยูโรโซนปิดตลาดร่วงลง 16.22 จุด หรือ 0.57 % สู่ 2,835.86 หลังเพิ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดรอบ 2 ปีที่ 2,855.89 ในวันที่ 14 ส.ค.
ปัจจัยทางเทคนิคบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นอาจร่วงลงไปอีก โดยนายคริส ไรท์ นักวิเคราะห์ ปัจจัยทางเทคนิคของบริษัทอินฟอร์มา โกลบัล มาร์เก็ตส์กล่าวว่า เขากังวลกับการที่ดัชนี Euro STOXX 50 ไม่สามารถพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจากวันพุธ อย่างไรก็ตาม เขากล่าวเสริมว่า "ตลาดในวงกว้างยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น"
ตลาดหุ้นอังกฤษดิ่งลงมากที่สุด โดยดัชนี FTSE 100 ดิ่งลง 1.58% หลังตัวเลขยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันว่า อังกฤษอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเกินคาด ด้านหุ้นซูริค อินชัวรันส์ ซึ่งเป็นบริษัทประกันของสวิตเซอร์แลนด์ ดิ่งลง 3.6% หลังการดิ่งลงอย่างรุนแรงของผลกำไรไตรมาสสองกระตุ้นให้ซูริค อินชัวรันส์แสดงความกังวล ต่อเป้าหมายผลกำไรตลอดทั้งปี

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.ลดลงอยู่ที่ 91.9

ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.ลดลงอยู่ที่ 91.9

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2556 

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนก.ค.56 อยู่ที่ 91.9 ลดลงจากระดับ 93.1 ในมิ.ย.56 โดยดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน นับตั้งแต่ต้นปี โดยดัชนีปรับลดลงเป็นผลมาจากยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ
อย่างไรก็ตาม สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีลดลง เป็นเพราะเกิดความกังวลต่อกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัวลง และปัญหาทางการเมืองในประเทศ ตลอดจนปัญหาภัยธรรมชาติที่เกิดจากภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของปะรเทศ ขณะที่ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกยังส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทย
ทั้งนี้ผู้ประกอบการได้เสนอแนะให้ภาครัฐเร่งผลักดันการค้าชายแดน, ปรับปรุงจุดผ่านแดน และอำนวยความสะดวกในการดำเนินพิธีการศุลกากรเพื่อเชื่อมโยงการค้าไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ ส.อ.ทได้คาดการณ์ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอีก 3 เดือนข้างหน้า โดยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 97.2 ปรับตัวลดลงจากระดับ 98.7 ในเดือน มิ.ย.56 โดยค่าดัชนีที่ลดลงเกิดจากยอดคำสั่งซื้อโดยรวม, ยอดขายโดยรวม, ปริมาณการผลิต, ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สรุปการซื้อขายกระดานรายใหญ่วันนี้ KBANK-F สูงสุด มูลค่า 173.33 ลบ.

สรุปการซื้อขายกระดานรายใหญ่วันนี้ KBANK-F สูงสุด มูลค่า 173.33 ลบ.

วันจันทร์ที่ 05 สิงหาคม 2556 

หลักทรัพย์จำนวนรายการปริมาณ (หุ้น)มูลค่า ('000 บาท)ราคาเฉลี่ยหน่วย
KBANK-F2953,700173,327181.74บาท
BAY12,707,800100,86637.25บาท
SCCC-F1200,00093,000465บาท
TISCO12,219,80084,45138.04บาท
BH11,000,00083,50083.5บาท
SCC2140,30063,634453.55บาท
SPALI-F22,719,30040,13914.76บาท
TISCO-F21,000,00038,04438.04บาท
TLGF12,307,30030,35913.16บาท
SCCC160,30028,100466บาท
CPALL1743,80025,88134.8บาท
SCB-F9120,00018,815156.79บาท
EASTW11,208,00015,46212.8บาท
SSI122,000,0008,3600.38บาท
LPN1181,9003,88321.34บาท
JAS13CB110,000,0003,5000.35บาท
ADVANC111,2003,158282บาท
BEC150,0003,00060บาท
IEC527,000,0009580.04บาท
N-PARK15,000,0004150.08บาท
ข้อมูลอัพเดต ณ เวลา 17:08:50 น.

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

KKP ปิดบวก 4.07% หลังร่วงจากจุดพีค 37% เข้าเขตขายมากเกินไป ยีลด์ปันผล 6.4%

KKP ปิดบวก 4.07% หลังร่วงจากจุดพีค 37% เข้าเขตขายมากเกินไป ยีลด์ปันผล 6.4%

วันพฤหัสบดีที่ 01 สิงหาคม 2556 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ปิดตลาดที่ 44.75 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 4.07% มูลค่าการซื้อขาย 312.72 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น KKP อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากระดับราคา 71 บาทเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา และต่ำสุดที่ 42.75 บาทเมื่อวานนี้ (31 ก.ค.)  หรืออ่อนตัวกว่า 37% จากจุดสูงสุด ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคเข้าเขตขายมากเกินไป ทำให้วันนี้ราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัว RSI อยู่ที่ 34.36 ล่าสุด KKP ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 9.04 เท่าและ P/BV ที่ 1.05 เท่า
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ KKP เปิดเผยว่า ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อรวมในปีนี้ที่ 19% โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้สินเชื่อรวมเติบโตได้ 8% ส่วนใหญ่มาจากการขยายสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ รวมถึงได้รับผลดีจากการกระจายตัวรายได้ทีดีขึ้น สัดส่วนดอกเบี้ยต่อรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการอยู่ที 67:33 ส่งผลให้กำไรของกลุ่มธุรกิจมีความสมดุล กำไรสุทธิใน 6 เดือนแรกอยูที่ 2,399 ล้านบาท
สำหรับแนวทางการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง มองว่าสินเชื่อของธนาคารยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง รวมถึงมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจตลาดทุนอย่างเต็มรูปแบบ จะเห็นได้ว่าภาพรวม 6 เดือนแรกที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจมีผลดำเนินงานที่สะท้อนความร่วมมือทางธุรกิจของธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุนชัดเจน ทำให้มีการกระจายรายได้ที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธนาคารอาจจะต้องตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมอีกหลังจากครึ่งปีแรกตั้งไปแล้วกว่า 1.3 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูง แต่ในครึ่งปีหลังจะกลับมาตั้งสำรองในอัตราที่ปกติที่ไตรมาสละ 400-500 ล้านบาท เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดการเงินโลก ขณะเดียวกันเพื่อรองรับผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายรถยนต์คันแรกที่ส่งผลกระทบให้รถมือสองมีราคาที่ปรับตัวลดลงประกอบกับหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งอาจจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ ส่งผลให้เป้าหมาย NPL ปีนี้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นที่สิ้นปีจะอยู่ที่ไม่แกิน 3.5% ซึ่งเป็นระดับที่อยู่ปัจจุบัน จากที่ก่อนหน้านี้กำหนดไว้ 3%
นายกฤติยา วีรบุรุษ ประธานธุรกิจตลาดทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทุนภัทร และบล.ภัทร เปิดเผยว่า ภาวะธุรกิจตลาดทุนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวน จากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เห็นได้จาก SET index ที่ปรับตัวลดลงจาก 1,561.06 จุด ณ สิ้นไตรมาส 1/2556 มาปิดที่ 1,451.90 จุด ณ สิ้นไตรมาส 2 ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของบริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของ บล.ภัทร และ บล.เกียรตินาคิน อยู่ที่ 4.33% และ 1.30% ตามลำดับ หรือรวมเท่ากับ 5.63% เป็นอันดับที่ 3 จากจำนวนบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมด 31 แห่ง ส่วนธุรกิจจัดการกองทุนที่มีทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (โดย บลจ.เกียรตินาคิน) จำนวน 22,188 ล้านบาท  และสินทรัพย์ภายใต้การดูแลของงานด้านกองทุนส่วนบุคคล หรือ Private Fund อีกจำนวน 5,006 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้รายได้จากธุรกิจตลาดทุนมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของรายได้รวมของกลุ่มธุรกิจ
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 24 ก.ค.56 ว่า กำไร 2Q56 ของ KK สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ต่ำกว่าคาดสินเชื่อยังเติบโตต่อ แต่ NPL ก็เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ และธุรกิจตลาดทุนมีแนวโน้มชะลอลงทางฝ่ายจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2556 ลง 10% เหลือ 4.3 พันล้านบาท จากเดิมคาดไว้ที่ 4.8 พันล้านบาท และปรับลดประมาณการเงินปันผลปรับลดลงด้วยเหลือ 3.25 บาท/หุ้น yield 6.4% จากเดิมคาดไว้ที่ 3.50 บาท/หุ้น ปรับราคาพื้นฐานลงเหลือ 67.50 บาท แนะนำ “ซื้อ”

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ดาวโจนส์ปิดวันศุกร์ปรับขึ้น ตลาดคาดเฟดผ่อนคลายนโยบายต่อ

ดาวโจนส์ปิดวันศุกร์ปรับขึ้น ตลาดคาดเฟดผ่อนคลายนโยบายต่อ

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม 2556

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันศุกร์อันเป็นผลจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับแนวโน้มที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป
ทั้งนี้ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 3.22 จุดหรือ 0.02% สู่ระดับ 15,558.83, ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 1.40 จุดหรือ 0.08% สู่ระดับ 1,691.65 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวขึ้น 7.98 จุดหรือ 0.22% สู่ระดับ 3,613.16 โดยหุ้น 5 ใน 10 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น โดยหุ้นกลุ่มดูแลสุขภาพนำตลาดปรับตัวขึ้น ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.03%, ดัชนีดาวโจนส์บวก 0.1% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.7%
ด้านนักลงทุนจะรอดูคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดออกแถลงการณ์ในวันพุธหน้้า เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้กำหนดเวลาที่เฟดจะปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ นอกเหนือจากการประชุมเฟดในวันอังคารและวันพุธหน้านั้น ตลาดจะรอการเปิดเผยข้อมูลจีดีพีไตรมาสสอง และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในสัปดาห์หน้า

ดอลล์ร่วงต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์รับแนวโน้มเฟดตรึงดบ.

ดอลล์ร่วงต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์รับแนวโน้มเฟดตรึงดบ.

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม 2556



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ในวันศุกร์ โดยลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน จากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยืนยันในการประชุมนโยบายในสัปดาห์หน้าว่า เฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไป
ทั้งนี้ดอลลาร์อยู่ที่ 98.180 เยน เทียบกับระดับปิดวันพฤหัสบดีที่ 99.280 เยน ส่วนยูโรอยู่ที่ 1.3280 ดอลลาร์และ 130.42 เยน เทียบกับระดับปิดวันพฤหัสบดีที่ 1.3276 ดอลลาร์และ 131.79 เยน
ดัชนีดอลลาร์ลดลง 0.4% สู่ระดับ 81.625 หลังแตะ 81.548 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย. ดอลลาร์ร่วงลง 1.1% สู่ 98.19 เยนหลังร่วงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ที่ 97.94 เยนด้านยูโรทรงตัวที่ 1.3281 ดอลลาร์หลังปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ที่ 1.3296 ดอลลาร์ ในรอบสัปดาห์นี้ ยูโรปรับตัวขึ้นราว 1.1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์โดยบวกขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่ดอลลาร์ร่วงลง 2.4% เมื่อเทียบกับเยนซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนมิ.ย.
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ดอลลาร์อาจยังคงอ่อนแอในระยะสั้น และการปรับตัวลงอาจ เป็นไปอย่างจำกัดก่อนการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์ หน้า อาทิ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค. และดัชนี ISM ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ
เฟดจะประชุมนโยบายในวันอังคารและพุธหน้า ขณะที่รายงานในหนังสือพิมพ์วอลล์สต รีท เจอร์นัลบ่งชี้ว่า เฟดอาจอภิปรายถึงการเปลี่ยนแปลงการชี้นำล่วงหน้าต่อ อัตราดอกเบี้ย เพื่อตอกย้ำว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ ขณะที่ผลสำรวจบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นในเดือนก.ค. สู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี ขณะที่ชาวอเมริกันเชื่อมั่นมากขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน แม้คาดว่าจะเห็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงก็ตาม

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ADVANC ลุ้นกำไรปีนี้เฉียด 4 หมื่นลบ. เทคนิคยังติดแนวต้านสำคัญ รอซื้อเมื่ออ่อนตัว

ADVANC ลุ้นกำไรปีนี้เฉียด 4 หมื่นลบ. เทคนิคยังติดแนวต้านสำคัญ รอซื้อเมื่ออ่อนตัว

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2556

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หริอ ADVANC ปิดตลาดรอบเช้าบวก 4 บาท หรือ 1.4% มาที่ 290 บาท สูงสุดที่ 291 บาท ต่ำสุดที่ 284 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 1.32 พันล้านบาท ด้านข้อมูลจาก www.settrade.com โบรกเกอร์ 6 แห่ง แนะนำซื้อ, 1 แห่งแนะนำถือ และ 2 แห่ง แนะนำขาย โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 298 บาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.16%
บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ (26 ก.ค.) แนะนำ "ซื้อเมื่ออ่อนตัว" สำหรับ ADVANC ให้ราคาเป้าหมายที่ 300 บาท คาดกำไรสุทธิในปีนี้ของ ADVANC อยู่ที่ 3.98 หมื่นล้านบาท เติบโต 14% จากปีก่อน และคาดเงินปันผลจ่ายจากกำไรงวดครึ่งปีแรกของปี 56 ที่ 6.5 บาท คิดเป็น Div Yield 2.3%
ขณะที่มีมุมมองเชิงบวกต่อจำนวนลูกค้าบนโครงข่าย 3G ใหม่ของ ADVANC ที่ปัจจุบันมีสูงถึง 5 ล้านเลขหมาย คิดเป็นการโอนย้ายที่ค่อนข้างรวดเร็ว เป็นปัจจัยบวกต่อต้นทุนที่มีแนวโน้มลดลงจากเดิมที่ 25% บนระบบสัมปทาน เหลือ 5.25% บนระบบ license นอกจากนี้การเปิดตัวสมาร์ทโฟนราคาต่ำ พ่วงโปรโมชั่นค่าโทรที่ค่อนข้างถูก แม้จะกดดันให้ Margin จากการขายลดลง แต่จะส่งผลดีในระยะยาว เนื่องจากจะเพิ่มการให้บริการ 3G แก่ฐานลูกค้าระดับล่างมากขึ้น ช่วยนุนรายได้ส่วน Non-Voice และเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้ามีอุปกรณ์รองรับ 3G มากขึ้น ช่วยให้บริษัทได้รับต้นทุนค่าส่วนแบ่งลดลงเร็วขึ้น
ด้านเทคนิคบล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ (26 ก.ค.) ว่า ADVANC ไม่ผ่านแนวต้านสำคัญ 300-310 บาท ขณะที่ราคาหุ้นยังปิดต่ำ โดยมีสัญญาณเตือนหรือแนวโน้มการอ่อนตัวลงจากเครื่องมือ MACD เริ่มตัดลง แนะนำ ขาย
บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (26 ก.ค.) ว่า ADVANC มีแนวโน้มดี แนะนำรอขาย 294 บาท หากไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนดให้ ต่ำกว่า 282 บาทให้ขายออกไปก่อน

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

SSI KTC BLA KBANK สัญญาณเทคนิคไปต่อ

SSI KTC BLA KBANK สัญญาณเทคนิคไปต่อ

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2553 เวลา 09:10:26 น. 
ผู้เข้าชม : 961 คน 

บล.ฟิลลิประบุในบทวิเคราะห์ทางเทคนิค ดังนี้
SSI ปิด 1.63 บาท
ราคาปิดเหนือแนวต้านที่ 1.62 บาทได้พร้อมวอลุ่มหนุน Indicators ทุกตัวให้ค่าสัญญาณบวก แนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ
แนะนำ "ซื้อ” แนวต้านที่ 1.70-1.79 บาท แนวรับที่ 1.60-1.58 บาท cut loss หากปิดต่ำกว่า 1.56 บาท
KTC ปิด 11.80 บาท
แท่งเทียนปิดมีสีขาวเต็มแท่งพร้อมวอลุ่มหนุน ราคาปิดเหนือเส้นDowntrend Line ได้ และ Indicators ทุกตัวให้ค่าสัญญาณบวกแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นต่อ
แนะนำ "ซื้อ” แนวต้านที่ 12.70-13.70 บาท แนวรับที่ 11.50-11.30 บาท cut loss หากปิดต่ำกว่า 11.00 บาท
BLA ปิด 28.75 บาท
ราคาปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทุกเส้น และ เครื่องมือทุกตัวในกราฟรายวันให้ค่าสัญญาณบวก แนวโน้มเป็นขาขึ้นชัดเจน
แนะนำ "ซื้อ” แนวต้านที่ 30.00-31.50 บาท แนวรับที่ 28.25-27.75 บาท cut loss หากปิดต่ำกว่า 27.25 บาท
KBANK ปิด 93.25 บาท
ราคาปิดเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทุกเส้นพร้อมวอลุ่มหนุน Indicators ทุกตัวให้ค่า สัญญาณบวกเป็นวันแรก แนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ
แนะนำ "ซื้อ” แนวต้านที่ 95.25-97.00 บาท แนวรับที่ 92.75-92.00 บาท cut loss หากปิดต่ำกว่า 91.50 บาท

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หุ้นแบงก์รับ 2 เด้ง ธปท.ขึ้นดอกเบี้ย-งบไตรมาส2

หุ้นแบงก์รับ 2 เด้ง ธปท.ขึ้นดอกเบี้ย-งบไตรมาส2

วันศุกร์ที่ 09 กรกฎาคม 2553 เวลา 12:47:16 น. 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชยฺ์จะรับ 2 เด้งจากผลของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยและการประกาศผลประกอบการที่จะทยอยประกาศในช่วงปลายเดือนนี้ โดยหุ้นเด่นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้แก่ ฺBBL TISCO และ KTB
บลูมเบิร์กรายงานว่าจากการสำรวจการคาดการณ์ในนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 12 ท่าน พบว่า 7 ท่าน คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% มาอยู่ที่
ระดับ 1.5% ในวันที่ 14 ก.ค.นี้
บล.กิมเอ็งระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้
มุมมอง "เป็นบวก"...หุ้นเด่นคือ BBL และ TISCO
เรายังคงมีมุมมอง "เป็นบวก" ต่อกลุ่มธนาคาร จากแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อ และ NIM ที่ปรับตัวดีขึ้น ในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมจัดการได้ โดยหุ้นธนาคารที่เป็น Top pick ของเราคือ BBL จากสัญญาณการขยายตัวของสินเชื่อที่สูงตามการฟื้นตัวของภาคการลงทุน และราคาหุ้นปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุนโดยมีราคาซื้อขายเพียง 1.2 เท่าของมูลค่าทางบัญชี และ TISCO จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สินเชื่อที่ขยายตัวสูงต่อเนื่อง และ ROE ที่ปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับสูงกว่า 20% ประกอบกับผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่สูง
TISCO KTB และ BBL กำไรเติบโตโดดเด่น
เราประเมิน TISCO มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/53 ขยายตัวสูงสุด QoQ และ YoY ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากกำไรจากการขายสินทรัพย์รอการขายและรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้แก่ FIDF ในการขายหุ้น SCIB ให้แก่ธนาคารธนชาต ในขณะที่ BBL กำไรสุทธิไตรมาส 2/53 ขยายตัวสูง 24.5% yoy อันเป็นผลจากกำไรจากการขายหุ้น ACL ประมาณ 2 พันล้านบาท และ KTB กำไรสุทธิไตรมาส 2/53 ขยายตัวสูง 24.8% yoy จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ค่าธรรมเนียม
คาดหวังการเติบโตที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
เราประเมินรายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นใน 2H10 จากสินเชื่อที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อภาคธุรกิจและสินเชื่อ SMEs อันเป็นผลมาจากวัฏจักรของสินเชื่อ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และโครงการภาครัฐ และ NIM ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตต่อเนื่องในอัตราที่สูงในปีนี้ ทางด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังไม่มีสัญญาณที่น่าเป็นห่วง ส่งผลให้การตั้งสำรองฯอยู่ในระดับปกติ

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปตท.ปรับลดราคาน้ำมัน 60 สต./ลิตร

ปตท.ปรับลดราคาน้ำมัน 60 สต./ลิตร ยกเว้นดีเซลลด 30 สต./ลิตร มีผลพรุ่งนี้

วันพฤหัสบดีที่ 08 กรกฎาคม 2553 เวลา 10:13:11 น. 

บมจ.ปตท.(PTT) ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันทุกประเภท 60 สตางค์/ลิตร ยกเว้นดีเซลที่ลดลงเพียง 30 สตางค์/ลิตร มีผลวันพรุ่งนี้ ตามราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง
สำหรับราคาขายปลีกน้ำมันของปตท.ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลวันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้ ราคาน้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 อยู่ที่ 35.04 บาท/ลิตร,แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่31.24 บาท/ ลิตร ,แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 29.74 บาท/ลิตร, E20 อยู่ที่ 28.94บาท/ลิตร และ E85 อยู่ที่ 18.82 บาท/ลิตร
ส่วนน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 27.99 บาท/ลิตร และไบโอดีเซล B5 อยู่ที่ 26.79บาท/ลิตร

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โบรกชี้ MINT ราคาถูก เป้าต่อไปที่ 11.30 บาท

โบรกชี้ MINT ราคาถูก เป้าต่อไปที่ 11.30 บาท

วันพุธที่ 07 กรกฎาคม 2553 เวลา 10:04:59 น. 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้น MINT ล่าสุด ณ เวลา 10.08 น. อยู่ที่ 11.10 บาท บวก 0.40 บาท โดยวานนี้มีการซื้อหุ้น MINT ผ่าน NVDR กว่า 3 ล้านหุ้น ทั้งนี้ โบรกเกอร์มองว่าสัญญาณทางเทคนิคฟื้นตัว และหุ้นราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน
บล.เอเซียพลัสระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้
MINT: Break 10.70 บาทขึ้นมาได้เป้าต่อไปที่ 11.30 บาท 
MINT กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ Break 10.60 บาทและมาปิดที่ 10.70 บาท ทางเทคนิคถือได้ว่าราคากำลังจะมาอีกครั้ง เพราะการปรับเพิ่มขึ้นในครั้งนี้เป็นการทำ Continue Pattern แถมยังเป็นการเพิ่มด้วยการตัดเส้นค่าเฉลี่ยขึ้นมาทุกเส้น ทำให้มีโอกาสที่ราคาจะปรับเพิ่มขึ้นอีกระลอก คาดว่าหากปรับผ่าน 10.70 บาท ก็อาจไปต่อได้ถึง 11.30 บาท ซื้อ และตั้งจุดตัดขาดทุนที่ 10.00 บาท แนวรับ   10.50   บาท แนวต้าน 11.30   บาท
บล.ฟิลลิประบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อ MINT เนื่องจากราคาถูกเมื่อเทียบกับตลาดรวม P/E ในอดีต และ Replacement Value
-ราคาหุ้นซื้อขายบน P/E ที่ต่ำกว่าอดีต และ Replacement Value
-ธุรกิจโรงแรมมีสัดส่วนสูงสุดที่ 73% จากมูลค่ารวมของ Replacement Cost
-ปรับกำไรสุทธิปี 2553 ลดลง 5.5% แต่เทียบ YoY ยังเติบโต 12%
-คาดธุรกิจท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวใน 4Q53
-ได้ประโยชน์จากมาตรการภาษี จากลูกค้าโรงแรมของ MINT เป็นคนไทยในสัดส่วน 10%
และมีการเติบโตสูง
-ปรับลดราคาพื้นฐานปี 2553 เป็น 13.80 บาท (DCF) แนะนำ “ซื้อ”

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

โฆษณา



บัตรเดบิตกสิกรไทยโดราเอมอน (Daraemon Debit Card)

ดูหนังก็ถูก
ช้อปออนไลน์ก็คุ้ม
ซื้อตั๋วเครื่องบินก็ได้เงินคืน


ภาพยนตร์โฆษณาชุด ฝาก ของธนาคารกสิกรไทยออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2553





เผยแพร่เมื่อ 3 มิ.ย. 2012
    ต้นกล้า "สิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าการส่งต่อความมั่­งคั่งทางธุรกิจ คือ การส่งต่อความดี จิตวิญญาณนักสู้และพลังความคิดสร้างสรรค์" 








อัปโหลดเมื่อ 31 ต.ค. 2010
ฝากให้เราช่วยดูแล จากเครือธนาคารกสิกรไทย